วันพุธที่ 29 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2555

กินมนต์นมสด รับลมสนามหลวง

     เพื่อนอยากกินโกโก้ อยากกินช็อคโกแลต เลยตัดสินใจไป 'มนต์นมสด' จะไปรถเมล์ก็ไม่รู้นั่งสายอะไร จะไปแท็กซี่ก็ไม่มี สรุปได้นั่งรถสามล้อจ้า

     เมื่อเข้าไปในร้านไม่รีรอสั่งนม สั่งขนมปังกันคนละอย่าง วันนี้ขอแนะนำ....

ขนมปังหน้าสังขยา + ขนมปังหน้าช็อคโกแลต

ขนมปังหน้าข้าวโพด + ขนมปังหน้าเผือก
(ขนมปังหน้าเผือกมีขายเฉพาะวันจันทร์นะจ๊ะ)

นมเย็น ๆ + ขนมปังนุ่ม ๆ


ไม่สามารถถ่ายรูปรวม 4 คน ต้องผลัดกันถ่าย

     หลังจากที่กินกันอิ่มแล้ว ก็นั่งเม้าท์กันตั้งแต่ มากันตั้งแต่ 5 โมงเย็นจนเกือบทุ่ม ถึงจะลุกออกจากร้าน แล้วเดินย่อยไปนั่งรับลมที่สนามหลวง

@ สนามหลวง

วันอังคารที่ 28 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2555

รับโทรศัพท์ ช่วยผู้ประสบภัย

     ได้มีโอกาสมารับโทรศัพท์ที่ช่อง 3 ร่วมกับมูลนิธิปอเต็กตึ้ง ช่วยผู้ประสบภัยน้ำท่วม โดยเริ่มทำงานตั้งแต่ 10 โมง ถึง 6 โมงเย็น ซึ่งในแต่ละวันมีผู้โทรเข้ามาขอความช่วยเหลือไม่ต่ำกว่า 100 สาย ส่วนมากโทรมาขอถุงยังชีพมากกว่า บางรายไม่ยอมออกจากบ้าน เพราะบอกว่าเป็นห่วงบ้าน อยู่บ้านหลังนี้มานาน บางรายก็โทรเข้ามาให้ไปช่วยสัตว์เลี้ยงของตนเอง

วันแรกของการทำงาน

ดาราสาวก็มาช่วย

การทำงานวันที่สอง
  
     มาทำที่นี่ได้ 2 วัน น้ำหนักขึ้นเลยทีเดียว มีอาหารให้กินทุกมื้อ (อาหารที่นำมาช่วยผู้ประสบภัย) วันแรกนั่งข้างล่าง อากาศร้อนมาก วันที่สองนั่งห้องแอร์ ก็จะหลับ ทำได้อยู่ 2 วันเท่านั้นแหละ น้ำท่วมบ้านตัวเองเลยจ้า ไม่สามารถออกไปช่วยใครได้อีกเลยเป็นเวลาเดือนกว่า ๆ

วันจันทร์ที่ 27 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2555

มวยไทย Fight แหลก

    ตอนแรกคิดว่าจะไปฝึกงานที่กองถ่ายของช่อง 3 อาจารย์ที่ปรึกษาเลยโทรไปหารุ่นพี่ให้ พี่คนนี้ชื่อ 'พี่ริน' พี่รินได้นัดมาคุยก่อนที่จะเริ่มทำงาน

     ได้ฝึกงานที่กองถ่ายหนังดังสุดสัปดาห์ เรื่อง 'มวยไทย Fight แหลก' ต้องตื่นตี 4 เพื่อออกไปกองถ่าย และเลิกกองไม่ต่ำกว่าเที่ยงคืนเป็นเวลา 4 วัน จากการทำงานวันแรก สิ่งที่ได้ทำคือ การจับเวลาในการถ่ายแต่ละ Sence, Cut, Take เพื่อที่จะดูว่าช่วงไหนดีที่สุด ช่วยดูแลนักแสดง และได้เป็นตัวประกอบอยู่ฉากนึง จนถึงวันสุดท้ายได้ตีเสลด ตื่นเต้นมาก กลัวตีผิดจังหวะ เพราะตีออกกล้องครั้งแรก และเป็นงานจริง

   4 วันกลับการทำงานกองถ่าย ได้ทั้งประสบการณ์ ความอดทน และความรู้กลับมา พี่ ๆ ทีมงานทุกคนเป็นกันเอง คอยดูแลเป็นอย่างดี

    หนังเรื่องนี้ใช้เวลาถ่ายทำเพียงแค่ 4 วัน (เร็วมาก) ถ่ายตั้งแต่เดือนตุลาคม 54 แต่ออกอากาศเดือนมกราคม 55 (ช้ามาก)

     ขอขอบคุณอาจารย์ปาริชาติ รัตนบรรณสกุล และพี่ริน ที่มอบโอกาสดี ๆ แบบนี้ให้ ^^




โดยเนื้อเรื่องประมาณว่า...
     ยูกิ (อาคิโกะ) หญิงสาวชาวญี่ปุ่น ที่เดินทางมาประเทศไทย เพราะหลงไหลในศิลปะวัฒนธรรมไทย ทั้งด้านภาษาไทย และศิลปะการป้องกันตัว ที่เรียกว่า 'มวยไทย' ทำให้เธอได้มีโอกาสรู้จักกับไท (เจสัน ยัง) นักมวยผู้รักในศักดิ์ศรี และซื่อสัตย์ต่ออาชีพของตน ยูกิ และไท ที่ต่างคนต่างหลงไหลในความงดงาม ของศิลปะแม่ไม้มวยไทย ทำให้ทั้งสองสนิทสนมกันมากขึ้น

'ย่าเหล' สหายผู้ภักดีของ ร.6

     เมื่อวันเสาร์ที่ผ่านมา ไปหาย่าที่จังหวัดนครปฐม ระหว่างทางพ่อก็พูดขึ้นว่าจะพาไปดูย่าเหล เลยถามว่ากลับไปว่าย่าเหลคืออะไร? พ่อบอกว่า...ย่าเหลเป็นสุนัขของร.6 มีความจงรักภักดีมาก วันหนึ่งมีคนจะมาทำร้ายร.6 ย่าเหลเข้ามาช่วยไว้เลยตาย จึงมีอนุสาวรีย์ย่าเหลขึ้น

     หลังจากที่พ่อเล่าให้ฟัง ก็อยากเห็นว่าย่าเหลเป็นยังไง พ่อจึงขับพาไปดู แต่เมื่อไปถึงสถานที่นั้นกลับปิด ไม่สามารถเข้าไปได้ จึงกลับมาค้นข้อมูลเพิ่มเติมในเว็บไซต์...


     ย่าเหล เป็นสุนัขพันทางที่พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงเลี้ยง และทรงโปรดปรานเป็นอย่างยิ่ง ภายหลังถูกลอบยิงจนตาย รัชกาลที่ 6 ทรงโทมนัสเป็นอย่างยิ่ง ถึงกับทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้จัดงานศพ และสร้างอนุสาวรีย์ย่าเหลขึ้น ทั้งยังทรงพระราชนิพนธ์คำกลอนไว้อาลัยแก่ย่าเหลด้วย

     ย่าเหลเป็นสุนัขพันทาง ขนปุย หางเป็นพวง สีขาว มีแต้มดำ หูตก เกิดในเรือนจำจังหวัดนครปฐม เดิมเป็นสุนัขของหลวงไชยราษฎร์รักษา (โพ เคหะนันทน์) ตำแหน่งพะทำมะรงหรือผู้ควบคุมนักโทษ (ภายหลังได้รับพระราชทานบรรดาศักดิ์เป็น พระพุทธเกษตรานุรักษ์) เมื่อครั้งพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว ยังดำรงพระยศเป็นพระบรมโอรสาธิราชฯ ได้เสด็จฯ ไปตรวจเรือนจำจังหวัดนครปฐม และทอดพระเนตรเห็นสุนัขตัวนี้ และตรัสชมว่าน่าเอ็นดู หลวงชัยอาญาจึงน้อมเกล้าฯ ถวาย พระองค์จึงทรงรับมาเลี้ยง และพระราชทานนามว่า 'ย่าเหล'


     ย่าเหลเป็นสุนัขที่ฉลาดแสนรู้ และช่างประจบ คอยถวายความจงรักภักดีพระเจ้าอยู่หัวเสมือนเป็นทหารรักษาพระองค์ ทำให้เป็นที่โปรดปรานอย่างยิ่ง และด้วยเหตุนี้จึงสร้างความอิจฉาและเกลียดในหมู่ข้าราชบริพารบางคน หากข้าราชบริพารคนใดแต่งกายไม่เรียบร้อย ก็จะถูกย่าเหลกัดต่อหน้าพระที่นั่ง สร้างความละอายและเจ็บแค้นแก่ผู้ที่ถูกกัดนั้นเป็นอย่างยิ่ง ดังนั้นเมื่อพระเจ้าอยู่หัวเสด็จพระราชดำเนินโดยลำพัง โดยมิได้นำย่าเหลไปด้วย จึงมีมหาดเล็กบางคนคอยทำร้ายเอาก็มี
     สำหรับชื่อย่าเหลนั้น พระองค์ทรงตั้งจากชื่อตัวละครเอก เอมิล ยาร์เลต์ (Emile Jarlet) จากบทละครฝรั่งเศสเรื่อง "My friend Jarlet" ซึ่งได้ทรงพระราชนิพนธ์แปลเป็นบทละครภาษาไทย ชื่อ "มิตรแท้" และยังทรงพระราชนิพนธ์ละครพูดเรื่อง "เพื่อนตาย" ตามเค้าโครงภาษาอังกฤษด้วย

อนุสาวรีย์ย่าเหลอ้างอิงจาก...http://www.lifenewsonline.com/?ContentID=ContentID-091008104921409


     หลังงานศพของย่าเหล พระเจ้าอยู่หัวทรงโปรดฯ ให้สร้างอนุสาวรีย์ขึ้น หล่อรูปย่าเหลด้วยโลหะทองแดง ประดิษฐานไว้หน้าพระตำหนักชาลีมงคลอาสน์ในพระราชวังสนามจันทร์ จังหวัดนครปฐม และได้ทรงพระราชนิพนธ์บทกลอนไว้อาลัยแก่ย่าเหล จารึกไว้ที่ด้านข้างของอนุสาวรีย์ ดังนี้
๏ อนุสาวรีย์นี้เตือนจิตร์
ให้กูคิดรำพึงถึงสหาย
โอ้อาไลยใจจู่อยู่ไม่วาย
กูเจ็บคล้ายศรศักดิ์ปักอุรา
ยากที่ใครเขาจะเห็นหัวอกกู
เพราะเขาดูเพื่อนเห็นแต่เป็นหมา
เขาดูแต่เปลือกนอกแห่งกายา
ไม่เห็นฦกตรึกตราถึงดวงใจ
เพื่อนเป็นมิตร์ชิดกูอยู่เนืองนิตย์
จะหามิตร์เหมือนเจ้าที่ไหนได้
ทุกทิวาราตรีไม่มีไกล
กูไปไหนเจ้าเคยเป็นเพื่อนทาง
ช่างจงรักภักดีไม่มีหย่อน
จะนั่งนอนยืนเดินไม่เหินห่าง
ถึงยามกินเคยกินกับกูพลาง
ถึงยามนอน ๆ ข้างไม่ห่างไกล
อันตัวเพื่อนเหมือนมนุษสุจริต
จะผิดอยู่แต่เพียงพูดไม่ได้
แต่เมื่อกูใคร่รู้ความในใจ
กูมองดูรู้ได้ในดวงตา
โอ้อกกูดูเพื่อนอยู่หรัด ๆ
เพื่อนมาพลัดพรากไปไม่เห็นหน้า
กูเผลอ ๆ ก็เชง้อเผื่อเพื่อนมา
เสียงกุกกักก็ผวาตั้งตามอง
อันความตายเป็นธรรมดาโลก
กูอยากตัดความโศรกกระมลหมอง
นี่เพื่อนตายเพราะผู้ร้ายมันมุ่งปอง
เอาปืนจ้องสังหารผลาญชีวี
เพื่อนมอดม้วยด้วยมือทุรชน
เอารูปคนสรวมใส่คลุมใจผี
เป็นคนจริงฤๅจะปราศซึ่งปรานี
นี่รากษสอัปปรีปราศเมตตา
มันยิงเพื่อนเหมือนกูพลอยถูกด้วย
แทบจะม้วยชีวังสิ้นสังขาร์
จะหาเพื่อนเหมือนเจ้าที่ไหนมา
ช้ำอุราอาไลยไม่วายวัน
เมื่อยามมีชีวิตร์สนิทใจ
ยามบรรไลยลับล่วงดวงใจสั่น
ด้วยอำนาจจงรักภักดีนั้น
ขอให้เพื่อนขึ้นสวรรค์สำราญรมย์
ถึงจะมีหมาอื่นมาแทนที่
กูก็รักเพื่อนนี้เป็นปฐม
ที่ไหนเล่าจะสนิทและชิดชม
ที่ไหนเล่าจะนิยมเท่าเพื่อนรัก
ถึงแม้จะไม่มีรูปนี้ไว้
รูปเพื่อนฝังดวงใจกูตระหนัก
แต่รูปนี้ไว้เป็นพยานรัก
ให้ประจักษ์แก่คนผู้ไมตรี
เพื่อนเป็นเยี่ยงอย่างมิตร์สนิทยิ่ง
ภักดีจริงต่อกูอยู่เต็มที่
แม้คนใดเป็นได้อย่างเพื่อนนี้
ก็ควรนับว่าดีที่สุดเอย

วันเสาร์ที่ 25 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2555

พระปฐมเจดีย์ จ.นครปฐม

     ก่อนอื่นขอกล่าวถึงประวัติของพระปฐมเจดีย์กันก่อนแล้วกัน

     พระปฐมเจดีย์ (Phra Pathom Chedi) วัดพระปฐมเจดีย์ราชวรวิหาร เป็นพระอารามหลวงชั้นเอก ชนิดราชวรมหาวิหาร เป็นที่ประดิษฐานองค์พระปฐมเจดีย์ที่ใหญ่และสูงที่สุดของไทย เป็นเจดีย์ที่เก่าแก่มากที่สุด และได้ใช้ตราพระปฐมเจดีย์เป็นตราประจำจังหวัด พระปฐมเจดีย์ที่เห็นอยู่ในปัจจุบันนี้เป็นองค์ที่สร้างขึ้น ในสมัยรัชกาลที่ 4 เมื่อ พ.ศ. 2396 โปรดเกล้าให้ครอบองค์เดิมที่ชำรุดหักพังลง การก่อสร้างเสร็จเรียบร้อย ในสมัยรัชกาลที่ 5 ปี พ.ศ. 2413 มีความสูง 3 เส้น 1 คืบ 10 นิ้ว ฐานวัดโดยรอบได้ 5 เส้น 17 วา 3 ศอก ต่อมาในสมัยรัชกาลที่ 6 ได้ทรงบูรณะวัดพระปฐมเจดีย์ให้สง่างามยิ่งขึ้น และถือว่าวัดพระปฐมเจดีย์เป็นวัดประจำรัชกาลที่ 6
     สำหรับพระปฐมเจดีย์เป็นพระเจดีย์ใหญ่ มีลักษณะเจดีย์เป็นทรงระฆังคว่ำ (ปากผาย) โครงสร้างทำจากไม้ซุง รัดด้วยโซ่ขนาดใหญ่ ก่ออิฐ ฉาบปูน และปูประดับด้วยกระเบื้องสีเหลือง-แสด ชั้นล่างประกอบด้วยวิหารสี่ทิศ พร้อมด้วยกำแพงแก้วสองชั้น
     ภายในองค์พระเจดีย์ยังเป็นที่ประดิษฐานของพระบรมสารีริกธาตุ ของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ซึ่งเป็นที่เคารพสักการบูชาของพุทธศาสนิกชนทั่วโลก ทางวัดจึงกำหนดให้มีงานเทศกาลนมัสการองค์พระปฐมเจดีย์ ในวันขึ้น 12 ค่ำ เดือน 12 ถึง วันแรม 5 ค่ำ เดือน 12 รวม 9 วัน 9 คืน เป็นประจำทุกปี


     เมื่อมาถึงพระปฐมเจดีย์แล้ว ก็ไม่พลาดที่จะไปกราบนมัสการ พระร่วงโรจนฤทธิ์ ซึ่งประดิษฐานอยู่ภายในบริเวณเดียวกัน รวมถึง ศาลเจ้าพ่อปราสาททอง และพระศิลาขาว ด้วย และเพื่อเป็นสิริมงคลแก่ชีวิต เมื่อมาพระปฐมเจดีย์ ก็คือ การเดินรอบพระอารามชั้นนอก หรือชั้นในก็ได้ให้ครบ 3 รอบ เพื่ออธิฐานจิตขอพรสิ่งศักดิ์สิทธิ์ให้สมปรารถนาดั่งสิ่งที่หวังไว้


     นอกจากนี้ ในตอนเย็น ๆ บริเวณอีกด้านขององค์พระปฐมเจดีย์ ก็จะมีตลาดนัด มีของกินให้เราเลือกซื้อ ทั้งคาวหวาน อาทิ ผัดไท หอยทอด ก๋วยเตี๋ยว อาหารตามสั่ง รวมถึงของหวานอย่างบัวลอยแต้จิ๋ว ขนมครกชาววัง และไอศกรีมลอยฟ้าก็อร่อยไม่แพ้กัน แต่น่าเสียดายที่ไม่ได้เก็บรูปมาฝาก เพราะมัวแต่กิน กิน กิน

     ขอบอกว่า...มาที่นี่ที่เดียว อิ่มทั้งบุญ อิ่มทั้งท้อง และอิ่มทั้งบรรยากาศ

วันพฤหัสบดีที่ 23 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2555

น้ำพริกลงเรือ สวนสุนันทา

     เรียน มรภ.สวนสุนันทา มา 2 ปีกว่า ไม่เคยกินข้าวในโรงแรมสวนสุนันทาเลย มีอยู่วันนึง ต้องมาเก็บห้องชมรม อาจารย์ก็ชวนไปกิน ตอนแรกที่เห็นเมนู ก็ไม่รู้จะสั่งอะไร บางอย่างก็กินไม่เป็น บางอย่างก็จำเจ แต่ได้ยินอาจารย์สั่ง 'ข้าวผัดน้ำพริกลงเรือ' ก็เลยสั่งตาม เพราะอยากลองชิมดูว่ารสชาติมันเป็นยังไง หลังจากวันนั้นก็ไม่ได้เข้าไปอีกเลย
เมนูอาหาร (เก่ามาก!!!)

     พอมาช่วงปี 3 เทอม 2 ได้มีโอกาสมากินกับเพื่อนบ่อย ๆ ถ้ามากันเยอะก็จะสั่งอาหารประมาณ 5 อย่าง ถ้ามาน้อยก็สั่ง 2-3 อย่าง แต่หนึ่งในเมนูอาหารที่สั่งทุกครั้ง ต้องมี 'น้ำพริกลงเรือ' คือตอนแรกก็กินไม่เป็น แต่พอได้ลองแล้วรู้สึกว่ารสชาติกลมกล่อม กินกับผัก และข้าวสวยร้อน ๆ เป็นอะไรที่อร่อยมาก ใครยังไม่เคยกิน แนะนำให้มาลองชิมกันได้จ้า ^^

น้ำพริกลงเรือ

น้ำพริกลงเรือ + ไก่ผัดเม็ดมะม่วง + ต้มยำทะเล

วันพุธที่ 22 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2555

วารสารฯ ล่องเรือ ผูกสัมพันธ์น้องพี่

     คณาจารย์และนักศึกษาวิชาเอกวารสารศาสตร์ สาขานิเทศศาสตร์ คณะวิทยาการจัดการ มหาวิทยาลัยราชภัฏสวนสุนันทา ได้จัดโครงการ ตามสายน้ำขึ้น โดยการล่องเรือไปตามเส้นทางแม่น้ำเจ้าพระยาสู่จังหวัดนนทบุรี พร้อมทั้งฟังบรรยายจากท่านวิทยากร ซึ่งโครงการนี้เกิดขึ้นเพราะต้องการสร้างความสัมพันธ์อันดีระหว่างพี่น้อง จึงได้จัดกิจกรรมให้นัdศึกษาทั้ง3ชั้นปีทำร่วมกัน นั่นก็คือ การแบ่งกลุ่ม เพื่อให้สมาชิกในกลุ่มดูแลซึ่งกันและกัน และช่วยกันออกความคิดเห็นหรือข้อเสนอแนะ เพราะระหว่างการเดินทาง นักศึกษาแต่ละคนจะต้องเก็บข้อมูล และนำข้อมูลที่ได้มาเขียนข่าว นอกจากกิจกรรมนี้แล้วก็ยังมีอีกหนึ่งกิจกรรมที่ทุกคนรอคอย คือ การจับสายรหัส กิจกรรมนี้สร้างความตื่นเต้นให้กับนักศึกษามาก หลังจากเสร็จกิจกรรมล่องเรือแล้ว ก็ไปต่อกันที่มหาวิทยาลัย เพื่อรับประทานอาหารเย็นร่วมกัน พร้อมกับเสนอข่าวของแต่ละกลุ่ม และปิดท้ายด้วยการทำพิธีบายศรี ผูกข้อมือให้กับนักศึกษาวารสารศาสตร์
เช็คชื่อก่อนลงเรือ

เรือด่วนพาทัวร์

มุ่งหน้าสู่ปลายทาง

ถึงแล้ว...วัดเฉลิมพระเกียรติ

ฟังวิทยากรบรรยาย

3 ชั้นปีรวมกัน

ศาลาไทย

อีกหนึ่งปัญหาในมหาวิทยาลัย

     ขึ้นชื่อว่ามหาวิทยาลัย ที่ถือว่าเป็นสถาบันที่มีผู้คนอาศัยอยู่เป็นจำนวนมาก ส่วนใหญ่เป็นคณาจารย์และนักศึกษา รวมถึงบุคลากรอีกมากมาย ย่อมมีปัญหาเกิดขึ้นทั้งนั้น ปัญหาต่าง ๆ เหล่านี้ล้วนแล้วแต่เกิดมาจากน้ำมือของคน ยิ่งคนมีจำนวนมากขึ้นเท่าไร ปัญหาก็จะยิ่งเพิ่มมากขึ้นเท่านั้น
     ลองหันมามองดูที่มหาวิทยาลัยของเราว่ามีปัญหาอะไรบ้าง จริง ๆ แล้วภายในมหาวิทยาลัยของเรานั้นมีปัญหาเกิดขึ้นอยู่หลายอย่างมาก แต่ในที่นี้จะขอกล่าวเฉพาะบางปัญหาที่ปรากฏเด่นชัดเท่านั้น เช่น ปัญหาการแต่งกายของนักศึกษา โดยเฉพาะนักศึกษาหญิงที่ใส่กระโปรงสั้นเกินไป อาจกล่าวได้ว่ายิ่งเรียนสูงและมีความรู้มากเท่าไร กระโปรงที่ใส่ก็จะยิ่งสั้นตามเท่านั้น ซึ่งลักษณะการแต่งกายของนักศึกษาหญิงเช่นนี้ เกิดขึ้นเพราะกระแสนิยม โดยเฉพาะแฟชั่นที่กำลังมาแรงในตอนนี้ ทำให้นักศึกษาเหล่านี้รับเอากระแสความนิยมมาใช่โดยที่รู้เท่าไม่ถึงการณ์ จนลืมมองว่ามันคู่ควรหรือขัดกับขนบธรรมเนียมวัฒนธรรมไทยเราหรือไม่
     ปัญหาต่อมา คือ ปัญหาการทิ้งขยะ ถือได้ว่าเป็นมลภาวะที่หนักหนาของมหาวิทยาลัยของเรา นักศึกษาส่วนใหญ่ขาดความรับผิดชอบ หรือมีความเห็นแก่ตัวทิ้งขยะเรี่ยราด อาจจะมีน้อยคนหนักที่จะมีจิตสำนึกรักสถาบันตนเอง อยากเห็นสถาบันตนเองสะอาด เป็นที่สถานที่รื่นรมย์ น่าอยู่ ทั้งนี้เพราะความเห็นแก่ตัว และเห็นว่ามีพนักงานทำความสะอาดอยู่แล้ว ตนเองจะทำอะไรก็ได้ตามใจชอบ อยากจะทิ้งตรงไหนก็ทิ้ง อยากจะวางตรงไหนก็วาง เดี๋ยวพนักงานทำความสะอาดก็มาเก็บเอง ลำพังพวกเขาก็มีหน้าที่ที่ต้องรับผิดชอบกันอยู่แล้ว เช่น ทำความสะอาดห้องน้ำ ทำความสะอาดอาคารเรียน หรือหน้าที่อื่น ๆ อีกมากมาย แล้วให้มาตามเก็บขยะที่นักศึกษาพากันทิ้งเรี่ยราดอีกก็คงเหนื่อยพอควร
     ปัญหาทุกปัญหาล้วนเกิดขึ้นมาเพราะน้ำมือของคน คนจึงถือได้ว่าเป็นบ่อเกิดของปัญหาต่าง ๆ ดังนั้นการที่จะแก้ไขปัญหาต่าง ๆ นั้น จะต้องมาแก้ที่คน แต่การแก้ปัญหาที่คนถือว่าเป็นเรื่องที่ยากมาก ๆ เพราะคนแต่ละคนมีอุปนิสัยใจคอไม่เหมือนกัน มีรสนิยมไม่เหมือนกัน และมีอะไรอีกหลายอย่างที่ไม่เหมือนกัน ด้วยเหตุผลนี้เอง การแก้ปัญหาจึงเป็นเรื่องที่จะต้องทำอย่างมีขั้นตอนและรอบคอบที่สุด จึงจะสามารถแก้ปัญหาต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นจากน้ำมือของคนได้
     วิธีการแก้ปัญหาที่เกิดขึ้นในมหาวิทยาลัยของเรานั้น ฉันคิดว่า จะต้องแก้ที่ต้นเหตุของปัญหา ไม่ใช่แก้ที่ปลายเหตุของปัญหา เพราะฉะนั้นเราก็ต้องแก้ที่เรื่องของจิตใจ จึงจะสามารถแก้ไขปัญหาต่าง ๆ ได้ โดยพยายามปลูกฝังจิตสำนึกและค่านิยมที่ดีงามแก่นักศึกษาให้มากที่สุด เมื่อกระทำในส่วนนี้ได้ก็เท่ากับ
A’Pinya