วันเสาร์ที่ 3 มีนาคม พ.ศ. 2555

9 ขั้น เอ่ยคำ "ขอโทษ" อย่างมีฟอร์ม

     ไม่ว่าเหตุการณ์ที่ทำให้คุณและเขาต้องเดินหันหลังให้กันนั้น จะร้ายแรงเพียงใดก็ตาม หากมีคำ ขอโทษ เอื้อนเอ่ยออกจากปากของคนที่สำนึกผิด ความสัมพันธ์ที่ดูเหมือนว่าจะขาดผึ่งลงไปนั้น จะค่อย ๆ กลับมาผสานกันใหม่ได้อีกครั้ง เพราะคำ ขอโทษ เปรียบเสมือนคาถาสมานรอยร้าวของคู่รักทุกคู่แต่เอ! หากคน ๆ นั้นเป็นคุณ! คุณจะกล้าเดินเข้าไปเอ่ยคำขอโทษหรือเปล่าน๊า!! เอ่ยคำ ขอโทษ ทั้งที มันต้องมีฟอร์มกันหน่อย ลองเอาคำแนะนำด้านล่างนี้ไปใช้ดูซิค่ะ เผื่อผิดใจกันคราวหน้า คุณจะได้กล้าตัดสินใจเป็นฝ่ายเข้าไปขอโทษได้ไม่ยากนัก
     1. ลำดับเหตุการณ์ บางครั้งเพราะความสับสนไม่แน่ใจว่าตัวคุณผิดหรือเปล่านี่แหละ ที่เป็นเหตุให้คุณยังไม่สามารถทำใจยอมรับว่าตัวเองควรจะเป็นฝ่ายเดินเข้าไปขอโทษ การลำดับเหตุการณ์ในขณะที่คุณอารมณ์เย็นลงแล้ว ผนวกกับความรักที่คุณยังคงมีต่อเขา จะทำให้คุณมองเหตุการณ์อย่างเป็นธรรม คุณจะเห็นเรื่องราวชัดเจนขึ้น และรู้สึกเต็มใจที่จะเอ่ยคำ ขอโทษ
     2. บันทึกประเด็นที่คุณผิด การจดบันทึกนอกจากจะช่วยให้การลำดับเหตุการณ์ของคุณมีความแม่นยำขึ้นแล้ว ยังช่วยให้คุณดึงจุดที่เป็นความผิดพลาดของคุณออกมา เพื่อนำมาเป็นแนวทางในการเตรียมคำพูดที่จะใช้ในการกล่าวขอโทษได้ตรงประเด็นอีกด้วย ที่สำคัญในระหว่างนี้ คุณจะมีโอกาสในการเรียบเรียงความคิด และระงับความตื่นเต้น รวมทั้งความกลัวต่าง ๆ ได้
     3. เตรียมตัวให้พร้อม หากคุณรู้สึกตื่นเต้นมาก คุณอาจซ้อมพูดดูก่อนก็ได้ โดยพูดให้ได้ตามประเด็นที่ได้จดบันทึกไว้ การฝึกซ้อมบ่อย ๆ จะทำให้คุณสามารถควบคุมสถานการณ์จริงได้ไม่ยากนัก แต่ถ้าคุณไม่กล้าเผชิญหน้ากับเขาจริง ๆ ล่ะก้อ ลองเขียนความรู้สึกของคุณลงกระดาษ แล้วยื่นให้กับเขาก่อนรีบออกจากบ้านในตอนเช้าสิค่ะ นอกจากโรแมนติกแล้ว ยังเป็นการเปิดใจเขาให้พร้อมรับคำสารภาพของคุณในตอนค่ำอีกด้วย
     4. จี้ให้ตรงจุด การยอมรับผิดที่ตรงจุดนอกจากช่วยประสานรอยร้าวได้เร็วแล้ว ยังเป็นการแสดงความยึดมั่นในความคิดที่ถูกต้องของคุณอีกด้วย แถมบางทีอาจทำให้คู่ของคุณมีการปรับตัวในส่วนที่คุณไม่มีวันยอมรับได้เลยอีกต่างหาก แต่มีข้อแม้ว่า คุณไม่ควรไปพูดขุดคุ้ยในส่วนที่คุณยังคงมองว่าเป็นความผิดของเขา แต่ให้พูดเน้นหนักเฉพาะในส่วนที่คุณทำผิดเท่านั้น เว้นแต่คุณจะรู้สึกว่าความผิดที่คุณทำนั้น มีต้นเหตุมาจากส่วนที่ไม่ดีบางประการของเขา ถ้าอย่างนั้นก็ต้องถือว่ามีความจำเป็นจริง ๆ ที่คุณจะต้องเสริมทับในตอนท้าย
     5. อย่าคิดแก้ตัวเด็ดขาด เพราะถ้าคุณจะคิดแก้ตัว หรืออ้างโน่นอ้างนี่ คุณก็ไม่ต้องไปขอโทษเขาหรอก จะกลายเป็นต่อความยาวสาวความยืดเปล่า ๆ
     6. แลกเปลี่ยนการพูดคุย ขณะที่เขาพูด คุณควรหยุดฟังอย่างตั้งใจ และคิดตามในสิ่งที่เขาพูด จะทำให้คุณเข้าใจความรู้สึกของเขา และสามารถที่จะปรับความเข้าใจกันได้ง่ายขึ้น
     7. ยอมรับผิดโดยดุษฎี ไม่ว่าเขาจะแรงมาอย่างไร หรือมีปฏิกิริยาไม่พอใจคุณอย่างไร คุณก็ต้องจำยอมรับ และเป็นฝ่ายนิ่งให้ได้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ การนิ่งของคุณจะช่วยให้เขาสงบลงได้ จนคุณเริ่มมีโอกาสที่จะพูดในสิ่งที่คุณเตรียมมา
    
8. ขอโอกาสชดเชย ลองถามเขาดูว่า มีหนทางอะไรบ้างที่คุณพอจะทำเพื่อเป็นการชดเชยให้กับเขาได้ เท่าที่คุณจะทำให้ได้เพื่อเป็นการประสานรอยร้าว และทำให้ความสัมพันธ์ระหว่างคุณกลับมาเหมือนดังเดิม อย่างน้อยที่สุดก็เพื่อลูก
     9. อย่าทำผิดซ้ำในเรื่องเดิม เพราะไม่มีใครที่จะอภัยให้คุณในเรื่องเดิม ๆ ได้อยู่ตลอดเวลา ที่สำคัญ การผิดซ้ำ ๆ ในเรื่องเดิม ๆ ไม่ถือว่าเป็นเรื่องที่ทำพลาดไป แต่เป็นเรื่องที่คุณจงใจจะทำทั้ง ๆ ที่รู้อยู่ว่าไม่ถูกต้อง ถ้าเป็นอย่างนี้ รับรองว่า คำขอโทษไม่ช่วยอะไรคุณได้เลย มีหวังคงต้องเลิกลากันจริง ๆ สักวันแน่นอน
อ้างอิงจาก : http://webboard.yenta4.com/topic/232249

9 เรื่อง ที่วัยรุ่นอยากลบทิ้งไป

     ถ้าเรื่องแย่ ๆ น่าเวียนหัวทั้งหลายในโลกนี้ สามารถทำให้หายไปได้ง่าย ๆ เหมือนการกด Delete จะดีแค่ไหนหนอ เอาแค่ 9 เรื่องนี้ให้หายไปได้ล่ะก็วัยรุ่นทั้งโลกคงแฮปปี้ขึ้นอีกหลายสิบเท่าเลยทีเดียว

1.สิว
     ไม่เข้าใจเลยว่าในเมื่อธรรมชาติสร้างวัยรุ่นให้มีใบหน้าใส ๆ ก่อนโรยราไปตามสังขาร แล้วเหตุไฉนถึงต้องสร้างสิวมาให้สถิตตามใบหน้าด้วย พอเอาเม็ดนี้ออกไปได้เม็ดนี้จะสูญหายไปได้อย่างถาวร จะเป็นอะไรเวรี่กู้ดมาก ๆ เลยคร่า

2. ประจำเดือน
     เป็นผู้หญิงก็ลำบากแฮะ ไหนจะต้องคอยดูแลทั้งหนังหน้า สารร่าง และเส้นผมบนหนังกบาลแล้ว ก็ต้องมีเรื่องที่ทำให้จุกจิกกวนตัวอยู่ทุกเดือนอีก ถ้าวิวัฒนาการทางการแพทย์ก้าวไกล สามารถคิดค้นวัคซีนป้องกันการเป็นเมนส์ได้ละก็เอิ่มอ่าก็คงเป็น อะไรที่ฝืนธรรมชาติน่าดูเลยแฮะ (มนุษยชาติถึงคราวสูญพันธุ์ก็ตรงนี้แหละวุ้ย)

3. สมุดพกที่ได้เกรด 0
     อยากรู้จริง ๆ ว่าผู้ใดเป็นผู้ตั้งกฎว่าการวัดผลการเรียนควรแบ่งเป็นเกรด 4 3 2 1 และ 0 เขาหรือเธอผู้นั้นจะรู้ไหมว่าเป็นต้นเหตุนำไปสู่การทำให้พ่อแม่ผู้ปกครอง ต้องเคี่ยวเข็ญแอนด์เข้มงวดลูกหลานเกินความจำเป็น ยิ่งถ้าเป็นเกรดรูปไข่ติดมาในสมุดพกมีหวังโดนบ่นจนหูชาแน่ 

4. หนี้
     หนี้เนี่ย ไม่ว่าจะเป็นหนี้ไหน ๆ ก็ล้วนแต่ทำให้ลูกหนี้กุมขมับนอนก่ายหน้าผากเลยทีเดียว หนำซ้ำยังมีดอกเบี้ยติดมาด้วย แหม้มมมถ้าเป็นดอกเบี้ยหัวใจแล้ว จะไม่กลุ้มใจเลยสักนิด (เฮ้ย มั่วแล้ววุ้ย) เอาเป็นว่าขอสรุปเลยแล้วกัน ถ้าต้องปลดหนี้ด้วยการเป็นทาสรับใช้เศรษฐีหนุ่มหล่อ อย่างในละครเวทีละก็ยินดีคร่า (เอ่อ..ชักมั่วยิ่งกว่าเก่าอีกนะไอ้คนเขียน)

5. แฟนของคนที่เราแอบชอบ
     เรื่องหัวใจมันกะเกณฑ์ไม่ได้จริง ๆ คนที่ควรชอบก็ไม่ชอบ ดั๊นนนไปหลงรักคนที่มีแฟนแล้ว จะให้ใจกล้าหน้าด้านแย่งแฟนชาวบ้านมาครอบครองก็ทำไม่ลง เพราะเสน่ห์และคารมมีไม่พอหุหุ ก็ได้แต่วาดฝันลม ๆ แล้ง ๆ ไปว่า ถ้ามีพรวิเศษจริง ก็ขอให้แฟนของคนที่เราชอบหายลับหายไปสักทีเทิ้ด

6. การบ้านกองโต
     ชีวิตวัยรุ่นร่าเริงลั้นลาเนี่ย มักจะมาจอดสนิท เหี่ยวเฉาสุด ๆ ก็เมื่อเจอการบ้านนี่แหละ แถมส่วนใหญ่มักจะเป็นการบ้านกองโตเสียด้วย สาเหตุมาจากพฤติกรรมดินพอกหางหมูนี่แหละ เมื่อไหร่นะ ? เมื่อไหร่ที่คุณครูจะเลิกแจกการบ้านให้นักเรียนสักที? วันนั้นจะมาถึงเมื่อไหร่กัน??? (คงเป็นวันที่โลกแตกนั่นแหละ)

7. ครูที่จุกจิกจู้จี้     ก็เข้าใจว่าที่ครูคอยจุกจิกจู้จี้พร่ำบ่นพวกเราน่ะ ก็ด้วยความเป็นห่วงหวังดีอย่างจริงใจ แต่คุณครูขาพวกหนูเป็นพวกโสตประสาทระดับต่ำกว่ามาตรฐาน เวลาฟังอะไรซ้ำ ๆ นาน ๆ เข้า ก็มักจะเข้าหูซ้ายทะลุหูขวาไม่ได้ซึมเข้าไปในเซลล์สมองค่ะ

8. สัตว์เลื้อยคลานที่น่ารังเกียจ     งูเหลือม งูหลาม จิ้งจก ตุ๊กแก กิ้งก่า จิ้งเหลน และอีกสารพัดสัตว์เลื้อยคลานน่าขยึกขยึย แค่นึกภาพในหัวก็ขยะแขยงไปถึงขั้วหัวใจแล้ว ก็ดูสิทั้งรูปร่าง สี หรือผิวหนัง แบบว่าอั๊กลี่มากไม่รู้ธรรมชาติสร้างขึ้นมาได้ไง อี๋ ๆ ๆ ถ้าหายไปจากโลกนี้ไม่ได้ด้วยเหตุผลทางนิเวศวิทยา ก็ขอให้น่ารักสักเศษเสี้ยวของหนูแฮมทาโร่ ก็ยังดี

9. ไขมัน     ไอ้นี่แหละ คือตัวการที่ทำหลายคนต้องสูญเสียความสวย ความมั่นใจ ความภาคภูมิ ศักดิ์ศรี เสรีภาพ และอื่น ๆ อีกมากมาย แถมมันยังติดเหนียวหนึบตามร่างกายยิ่งกว่าหมากฝรั่งติดพื้นรองเท้าเสียอีก กว่าจะแกะออกไปได้ ก็ช่างยากเย็นหนักหนา แต่นี่น่ากลัวกว่านั้นก็ตอนที่มันหวนกลับคืนมาน่ะสิ คราวนี้ล่ะติดหนึบยิ่งกว่ากาวตราช้างสิบหลอดรวมกันเสียอีก

อ้างอิงจาก : http://webboard.yenta4.com/topic/515361

วันศุกร์ที่ 2 มีนาคม พ.ศ. 2555

ของขวัญในชีวิต

 
คุณเคยถามตัวเองหรือไม่ว่าสิ่งที่ดีที่สุดในชีวิตของคุณคืออะไร?
คำตอบสำหรับคำถามนี้ในแต่ละคนต่างกัน แต่มีใครเคยคิดบ้างว่า
การที่คนเราได้เกิดมาในโลกใบนี้ ถือว่าเป็นสิ่งที่ดีที่สุดแล้ว
ความมหัศจรรย์ของชีวิตเกิดขึ้นเมื่อเราลืมตาขึ้นมาดูโลก ถึงแม้บางคนจะบอกว่าเราเกิดมาใช้กรรม แต่นอกจากใช้กรรมแล้ว เรายังสามารถสร้างสรรค์สิ่งดี ๆ ให้เกิดขึ้นได้อีกมากมาย ได้ค้นพบประสบการณ์ใหม่ ๆ เก็บเกี่ยวสิ่งดี ๆ ให้กับตนเองและคนรอบข้างไม่จบไม่สิ้น ตราบใดที่เรายังมีชีวิตอยู่ ถึงแม้ว่าจะมีอุปสรรคในการดำเนินชีวิต ก็ถือว่าเป็นสิ่งที่ดีอีกเช่นกัน
การที่เราได้เกิดมาบนโลกใบนี้ เราไม่ได้เอาอะไรติดตัวมาเลยแม้แต่ชิ้นเดียว เราเกิดมาตัวเปล่าดังนั้น ชีวิตหลังจากนี้ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นกับเรา ขอให้ถือว่ามันคือกำไรชีวิต ถึงแม้ว่าเรื่องราวที่เราได้พบจะทำให้เราร้องไห้ ผิดหวังแค่ไหนก็ตาม แต่มันก็ทำให้เราเข้มแข็งและกล้าที่จะยอมรับความจริง นั่นคือบททดสอบ มันทำให้ความเป็นคนของเราสมบูรณ์ยิ่งขึ้น ทุกอย่างถือเป็นกำไรทั้งสิ้น ไม่มีคำว่าขาดทุน
ทุกคนได้รับของขวัญโดยเท่าเทียมกันทุกคน ไม่เว้นแม้แต่คนเดียว ทุกคนเริ่มต้นใหม่ได้เสมอได้ทุกวัน โปรดอย่ากำหนดชีวิตตัวเองด้วยการจากโลกนี้ไป ถ้าคุณทำแบบนั้น คุณจะไม่รู้ว่าวันพรุ่งนี้จะเป็นอย่างไร ไม่มีอะไรเกินความสามารถของคนเราไปได้เลย ถ้ายังมีความหวัง และคิดเสมอว่าทุกย่างก้าวของชีวิต ทุกลมหายใจที่มีอยู่ ทุกอย่างคือกำไร 

วันพุธที่ 29 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2555

กินมนต์นมสด รับลมสนามหลวง

     เพื่อนอยากกินโกโก้ อยากกินช็อคโกแลต เลยตัดสินใจไป 'มนต์นมสด' จะไปรถเมล์ก็ไม่รู้นั่งสายอะไร จะไปแท็กซี่ก็ไม่มี สรุปได้นั่งรถสามล้อจ้า

     เมื่อเข้าไปในร้านไม่รีรอสั่งนม สั่งขนมปังกันคนละอย่าง วันนี้ขอแนะนำ....

ขนมปังหน้าสังขยา + ขนมปังหน้าช็อคโกแลต

ขนมปังหน้าข้าวโพด + ขนมปังหน้าเผือก
(ขนมปังหน้าเผือกมีขายเฉพาะวันจันทร์นะจ๊ะ)

นมเย็น ๆ + ขนมปังนุ่ม ๆ


ไม่สามารถถ่ายรูปรวม 4 คน ต้องผลัดกันถ่าย

     หลังจากที่กินกันอิ่มแล้ว ก็นั่งเม้าท์กันตั้งแต่ มากันตั้งแต่ 5 โมงเย็นจนเกือบทุ่ม ถึงจะลุกออกจากร้าน แล้วเดินย่อยไปนั่งรับลมที่สนามหลวง

@ สนามหลวง

วันอังคารที่ 28 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2555

รับโทรศัพท์ ช่วยผู้ประสบภัย

     ได้มีโอกาสมารับโทรศัพท์ที่ช่อง 3 ร่วมกับมูลนิธิปอเต็กตึ้ง ช่วยผู้ประสบภัยน้ำท่วม โดยเริ่มทำงานตั้งแต่ 10 โมง ถึง 6 โมงเย็น ซึ่งในแต่ละวันมีผู้โทรเข้ามาขอความช่วยเหลือไม่ต่ำกว่า 100 สาย ส่วนมากโทรมาขอถุงยังชีพมากกว่า บางรายไม่ยอมออกจากบ้าน เพราะบอกว่าเป็นห่วงบ้าน อยู่บ้านหลังนี้มานาน บางรายก็โทรเข้ามาให้ไปช่วยสัตว์เลี้ยงของตนเอง

วันแรกของการทำงาน

ดาราสาวก็มาช่วย

การทำงานวันที่สอง
  
     มาทำที่นี่ได้ 2 วัน น้ำหนักขึ้นเลยทีเดียว มีอาหารให้กินทุกมื้อ (อาหารที่นำมาช่วยผู้ประสบภัย) วันแรกนั่งข้างล่าง อากาศร้อนมาก วันที่สองนั่งห้องแอร์ ก็จะหลับ ทำได้อยู่ 2 วันเท่านั้นแหละ น้ำท่วมบ้านตัวเองเลยจ้า ไม่สามารถออกไปช่วยใครได้อีกเลยเป็นเวลาเดือนกว่า ๆ

วันจันทร์ที่ 27 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2555

มวยไทย Fight แหลก

    ตอนแรกคิดว่าจะไปฝึกงานที่กองถ่ายของช่อง 3 อาจารย์ที่ปรึกษาเลยโทรไปหารุ่นพี่ให้ พี่คนนี้ชื่อ 'พี่ริน' พี่รินได้นัดมาคุยก่อนที่จะเริ่มทำงาน

     ได้ฝึกงานที่กองถ่ายหนังดังสุดสัปดาห์ เรื่อง 'มวยไทย Fight แหลก' ต้องตื่นตี 4 เพื่อออกไปกองถ่าย และเลิกกองไม่ต่ำกว่าเที่ยงคืนเป็นเวลา 4 วัน จากการทำงานวันแรก สิ่งที่ได้ทำคือ การจับเวลาในการถ่ายแต่ละ Sence, Cut, Take เพื่อที่จะดูว่าช่วงไหนดีที่สุด ช่วยดูแลนักแสดง และได้เป็นตัวประกอบอยู่ฉากนึง จนถึงวันสุดท้ายได้ตีเสลด ตื่นเต้นมาก กลัวตีผิดจังหวะ เพราะตีออกกล้องครั้งแรก และเป็นงานจริง

   4 วันกลับการทำงานกองถ่าย ได้ทั้งประสบการณ์ ความอดทน และความรู้กลับมา พี่ ๆ ทีมงานทุกคนเป็นกันเอง คอยดูแลเป็นอย่างดี

    หนังเรื่องนี้ใช้เวลาถ่ายทำเพียงแค่ 4 วัน (เร็วมาก) ถ่ายตั้งแต่เดือนตุลาคม 54 แต่ออกอากาศเดือนมกราคม 55 (ช้ามาก)

     ขอขอบคุณอาจารย์ปาริชาติ รัตนบรรณสกุล และพี่ริน ที่มอบโอกาสดี ๆ แบบนี้ให้ ^^




โดยเนื้อเรื่องประมาณว่า...
     ยูกิ (อาคิโกะ) หญิงสาวชาวญี่ปุ่น ที่เดินทางมาประเทศไทย เพราะหลงไหลในศิลปะวัฒนธรรมไทย ทั้งด้านภาษาไทย และศิลปะการป้องกันตัว ที่เรียกว่า 'มวยไทย' ทำให้เธอได้มีโอกาสรู้จักกับไท (เจสัน ยัง) นักมวยผู้รักในศักดิ์ศรี และซื่อสัตย์ต่ออาชีพของตน ยูกิ และไท ที่ต่างคนต่างหลงไหลในความงดงาม ของศิลปะแม่ไม้มวยไทย ทำให้ทั้งสองสนิทสนมกันมากขึ้น

'ย่าเหล' สหายผู้ภักดีของ ร.6

     เมื่อวันเสาร์ที่ผ่านมา ไปหาย่าที่จังหวัดนครปฐม ระหว่างทางพ่อก็พูดขึ้นว่าจะพาไปดูย่าเหล เลยถามว่ากลับไปว่าย่าเหลคืออะไร? พ่อบอกว่า...ย่าเหลเป็นสุนัขของร.6 มีความจงรักภักดีมาก วันหนึ่งมีคนจะมาทำร้ายร.6 ย่าเหลเข้ามาช่วยไว้เลยตาย จึงมีอนุสาวรีย์ย่าเหลขึ้น

     หลังจากที่พ่อเล่าให้ฟัง ก็อยากเห็นว่าย่าเหลเป็นยังไง พ่อจึงขับพาไปดู แต่เมื่อไปถึงสถานที่นั้นกลับปิด ไม่สามารถเข้าไปได้ จึงกลับมาค้นข้อมูลเพิ่มเติมในเว็บไซต์...


     ย่าเหล เป็นสุนัขพันทางที่พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงเลี้ยง และทรงโปรดปรานเป็นอย่างยิ่ง ภายหลังถูกลอบยิงจนตาย รัชกาลที่ 6 ทรงโทมนัสเป็นอย่างยิ่ง ถึงกับทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้จัดงานศพ และสร้างอนุสาวรีย์ย่าเหลขึ้น ทั้งยังทรงพระราชนิพนธ์คำกลอนไว้อาลัยแก่ย่าเหลด้วย

     ย่าเหลเป็นสุนัขพันทาง ขนปุย หางเป็นพวง สีขาว มีแต้มดำ หูตก เกิดในเรือนจำจังหวัดนครปฐม เดิมเป็นสุนัขของหลวงไชยราษฎร์รักษา (โพ เคหะนันทน์) ตำแหน่งพะทำมะรงหรือผู้ควบคุมนักโทษ (ภายหลังได้รับพระราชทานบรรดาศักดิ์เป็น พระพุทธเกษตรานุรักษ์) เมื่อครั้งพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว ยังดำรงพระยศเป็นพระบรมโอรสาธิราชฯ ได้เสด็จฯ ไปตรวจเรือนจำจังหวัดนครปฐม และทอดพระเนตรเห็นสุนัขตัวนี้ และตรัสชมว่าน่าเอ็นดู หลวงชัยอาญาจึงน้อมเกล้าฯ ถวาย พระองค์จึงทรงรับมาเลี้ยง และพระราชทานนามว่า 'ย่าเหล'


     ย่าเหลเป็นสุนัขที่ฉลาดแสนรู้ และช่างประจบ คอยถวายความจงรักภักดีพระเจ้าอยู่หัวเสมือนเป็นทหารรักษาพระองค์ ทำให้เป็นที่โปรดปรานอย่างยิ่ง และด้วยเหตุนี้จึงสร้างความอิจฉาและเกลียดในหมู่ข้าราชบริพารบางคน หากข้าราชบริพารคนใดแต่งกายไม่เรียบร้อย ก็จะถูกย่าเหลกัดต่อหน้าพระที่นั่ง สร้างความละอายและเจ็บแค้นแก่ผู้ที่ถูกกัดนั้นเป็นอย่างยิ่ง ดังนั้นเมื่อพระเจ้าอยู่หัวเสด็จพระราชดำเนินโดยลำพัง โดยมิได้นำย่าเหลไปด้วย จึงมีมหาดเล็กบางคนคอยทำร้ายเอาก็มี
     สำหรับชื่อย่าเหลนั้น พระองค์ทรงตั้งจากชื่อตัวละครเอก เอมิล ยาร์เลต์ (Emile Jarlet) จากบทละครฝรั่งเศสเรื่อง "My friend Jarlet" ซึ่งได้ทรงพระราชนิพนธ์แปลเป็นบทละครภาษาไทย ชื่อ "มิตรแท้" และยังทรงพระราชนิพนธ์ละครพูดเรื่อง "เพื่อนตาย" ตามเค้าโครงภาษาอังกฤษด้วย

อนุสาวรีย์ย่าเหลอ้างอิงจาก...http://www.lifenewsonline.com/?ContentID=ContentID-091008104921409


     หลังงานศพของย่าเหล พระเจ้าอยู่หัวทรงโปรดฯ ให้สร้างอนุสาวรีย์ขึ้น หล่อรูปย่าเหลด้วยโลหะทองแดง ประดิษฐานไว้หน้าพระตำหนักชาลีมงคลอาสน์ในพระราชวังสนามจันทร์ จังหวัดนครปฐม และได้ทรงพระราชนิพนธ์บทกลอนไว้อาลัยแก่ย่าเหล จารึกไว้ที่ด้านข้างของอนุสาวรีย์ ดังนี้
๏ อนุสาวรีย์นี้เตือนจิตร์
ให้กูคิดรำพึงถึงสหาย
โอ้อาไลยใจจู่อยู่ไม่วาย
กูเจ็บคล้ายศรศักดิ์ปักอุรา
ยากที่ใครเขาจะเห็นหัวอกกู
เพราะเขาดูเพื่อนเห็นแต่เป็นหมา
เขาดูแต่เปลือกนอกแห่งกายา
ไม่เห็นฦกตรึกตราถึงดวงใจ
เพื่อนเป็นมิตร์ชิดกูอยู่เนืองนิตย์
จะหามิตร์เหมือนเจ้าที่ไหนได้
ทุกทิวาราตรีไม่มีไกล
กูไปไหนเจ้าเคยเป็นเพื่อนทาง
ช่างจงรักภักดีไม่มีหย่อน
จะนั่งนอนยืนเดินไม่เหินห่าง
ถึงยามกินเคยกินกับกูพลาง
ถึงยามนอน ๆ ข้างไม่ห่างไกล
อันตัวเพื่อนเหมือนมนุษสุจริต
จะผิดอยู่แต่เพียงพูดไม่ได้
แต่เมื่อกูใคร่รู้ความในใจ
กูมองดูรู้ได้ในดวงตา
โอ้อกกูดูเพื่อนอยู่หรัด ๆ
เพื่อนมาพลัดพรากไปไม่เห็นหน้า
กูเผลอ ๆ ก็เชง้อเผื่อเพื่อนมา
เสียงกุกกักก็ผวาตั้งตามอง
อันความตายเป็นธรรมดาโลก
กูอยากตัดความโศรกกระมลหมอง
นี่เพื่อนตายเพราะผู้ร้ายมันมุ่งปอง
เอาปืนจ้องสังหารผลาญชีวี
เพื่อนมอดม้วยด้วยมือทุรชน
เอารูปคนสรวมใส่คลุมใจผี
เป็นคนจริงฤๅจะปราศซึ่งปรานี
นี่รากษสอัปปรีปราศเมตตา
มันยิงเพื่อนเหมือนกูพลอยถูกด้วย
แทบจะม้วยชีวังสิ้นสังขาร์
จะหาเพื่อนเหมือนเจ้าที่ไหนมา
ช้ำอุราอาไลยไม่วายวัน
เมื่อยามมีชีวิตร์สนิทใจ
ยามบรรไลยลับล่วงดวงใจสั่น
ด้วยอำนาจจงรักภักดีนั้น
ขอให้เพื่อนขึ้นสวรรค์สำราญรมย์
ถึงจะมีหมาอื่นมาแทนที่
กูก็รักเพื่อนนี้เป็นปฐม
ที่ไหนเล่าจะสนิทและชิดชม
ที่ไหนเล่าจะนิยมเท่าเพื่อนรัก
ถึงแม้จะไม่มีรูปนี้ไว้
รูปเพื่อนฝังดวงใจกูตระหนัก
แต่รูปนี้ไว้เป็นพยานรัก
ให้ประจักษ์แก่คนผู้ไมตรี
เพื่อนเป็นเยี่ยงอย่างมิตร์สนิทยิ่ง
ภักดีจริงต่อกูอยู่เต็มที่
แม้คนใดเป็นได้อย่างเพื่อนนี้
ก็ควรนับว่าดีที่สุดเอย